Friday, August 20, 2010

10.India_Udaipur

The Last Journey of Backpacker
การเดินทางครั้งสุดท้ายก่อนแขวนเป้

India_Udaipur


ความเดิมจากตอนที่แล้ว

เนื่องจากมีม็อบประท้วง ทำให้ไม่มีรถเมล์วิ่งบริการในรัฐAndhra Pradesh เราจึงปรับแผนการเดินทางใหม่โดยไม่ไปHyderabad , Aurangabad และรัฐGujarat ... แต่ถ้าใครไม่เคยไปEllora & Ajanta Caves ก็ไม่ควรพลาดที่จะไปชม(การเดินทางจากMumbaiไปAurangabad ก็ง่าย) เป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ อลังการงานสร้างจริงๆ คอนเฟิร์มและฟันธงโดยSpecial Person เข้าใจว่าคนไทยจ่ายค่าตั๋วเข้าชมเท่ากับคนอินเดียด้วย(คงประมาณ 10 รูปี) เราเคยไปทั้งสองแห่ง จำนวนสองครั้ง จ่ายค่าตั๋วเข้าชมแห่งละ 5 US Dollar



๐๗ ธันวาคม ๒๕๕๒

๐๔.๐๐ น. รถไฟมาถึงMumbai ลงรถไฟแล้วเราก็นั่งรอจนเช้า แล้วไปซื้อหนังสือTrain at a Glance (ราคา 35 รูปี)แล้ววางแผนจะซื้อตั๋วไปUdaipurแต่ไม่มี, มีไปไกลสุดแค่Ahmedabad กำลังจะไปซื้อตั๋วรถไฟก็มีคนเข้ามาถามว่าจะเดินทางไปไหน เราบอกว่าจะไปUdaipur เขาบอกว่าไม่มีรถไฟไปหรอก จะไปรถบัสไหม เราก็งง...อ้าว มีรถไปUdaipurด้วยเหรอ(เราไม่เคยรู้ข้อมูลนี้มาก่อน) เราก็เดินตามเขาไปที่หน้าสถานีรถไฟ ไปที่บู๊ทขายตั๋วรถบัส เป็นsleeper bus มีทั้งตั๋วนั่ง(650 รูปี)และตั๋วนอน(850 รูปี) รถออกเวลา ๑๔.๐๐ น. กำหนดถึงUdaipur เวลา ๐๘.๐๐ น. เราซื้อตั๋วนอนหนึ่งที่แล้วก็ฝากกระเป๋าไว้ที่บู๊ทขายตั๋วก่อน
เราเดินไปที่สถานีรถไฟ ขึ้นไปที่ชั้นสองของอาคารขายตั๋ว ไปที่ช่องขายตั๋วTourist quota ticket ซื้อตั๋วJaipur - Amritsar (เดินทางวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ Sleeper classราคา 321 รูปี) ซื้อตั๋วNew Delhi – Gaya (เดินทางวันที่ ๑๙ มกราาคม ๒๕๕๓ Sleeper class ราคา 364 รูปี)
ซื้อตั๋วเสร็จก็ไปเดินเที่ยว Gateway of India, Taj Mahal Hotel
๑๓.๓๐ น. ไปที่บู๊ทขายตั๋วเอากระเป๋าใหญ่ที่ฝากไว้ แล้วเขาก็ให้คนพาไปรอยังจุดขึ้นรถ แต่รถยังไม่มา คนที่พาเรามาพูดขอค่าทิปที่พามา เราก็เฉยเสีย
๑๔.๐๐ น. รถบัสวิ่งมาจอด เราก็ขึ้นรถไป


๐๘ ธันวาคม ๒๕๕๒

๐๘.๐๐ น. รถบัสมาถึงเมืองUdaipur (ไม่ใช่เมืองuthailand ... อุไดปูร์ อ่านออกสำเนียงไทยก็จะเป็น”อุทัยปุระ” ก็จะคล้ายๆกับ “อุทัยธานี”) ลงรถไปก็มีคนขับรถตุ๊กตุ๊กเข้ามาถามว่าจะไปไหน เราบอกให้พาไปโรงแรมราคา200รูปี (เขาคิดค่าโดยสาร 30 รูปี) แต่แวะซื้อตั๋วรถบัสบริษัทเอกชนแถวนั้นก่อน ซื้อตั๋วไปJodhpur วันพรุ่งนี้ราคา160รูปี กำหนดเวลารถออก ๒๒.๐๐ น. แล้วคนขับรถตุ๊กตุ๊กพาไปที่Lake Shore Hotel แต่ห้องเต็ม ไม่มีห้องว่าง เขาจึงพามาที่Jagniwas Guesthouse(อยู่ใกล้ๆCity Palace) ค่าห้องคืนละ 350 รูปี เราบอกว่าลดราคาให้หน่อยเพราะว่าเช็คเอาท์พรุ่งนี้เวลา ๒๐.๐๐ น. เขาก็คิดราคา 550 รูปี
กินอาหารที่Rooftop Restaurant ของที่พัก แล้วไปเที่ยวCity Palace Museum ค่าตั๋วเข้าชม 50 รูปี, ค่าตั๋วกล้อง(all camera) 200 รูปี
หลังจากนั้นก็เดินไปที่ท่าเรือแถวDudh Talai นั่งเรือชมวิวรอบPicho Lake ประมาณไม่เกินครึ่งชั่วโมงค่าโดยสาร 100 รูปี
แล้วก็เดินไปขึ้นRopeway(ค่าโดยสารไปกลับ 63 รูปี)ไปเที่ยวบนเนินเขาเพื่อชมวิวเมืองUdaipur


๐๙ ธันวาคม ๒๕๕๒

ตอนสายเดินไปเที่ยวJagdish Temple (เข้าชมฟรี)
หลังจากนั้นก็เดินไปเที่ยวชมBagore ki Haveli ค่าตั๋วเข้าชม 25 รูปี
ตอนบ่ายเดินไปเที่ยวFateh Sagar ค่าเรือข้ามไป Nehru Park – Indian 30 Rs., Foreigner 125 Rs.
หลังจากนั้นก็เดินกลับมาชมวิวยามเย็นบริเวณฝั่งตรงข้ามกับCity Palace
ไปแลกเงินที่ร้านแลกเงิน(100 US Dollar = 4,550 Rs.) แล้วกลับที่พัก เช็คเอาท์ แล้วนั่งรถตุ๊กตุ๊กไปยังร้านขายตั๋วรถทัวร์ รถบัสไปJodhpur มาจอดที่หน้าร้านเวลา ๒๒.๐๐ น. เราก็ขึ้นรถไป





ประเทศอินเดียกว้างใหญ่ไพศาล หลากหลายวัฒนธรรม มีอะไรหลายๆอย่างให้เราได้ดูได้ศึกษา มีสถานที่สวยงามหลายแห่งให้ไปเที่ยวชม สาวๆบางคนบอกหลงรักอินเดียเข้าแล้ว ถ้าอยู่นานอาจจะได้แฟนอินเดียก็ได้
ขอเตือนสาวๆที่คิดจะไปเป็นภรรยาแขก เพราะมีคำพูดบางคำบอกว่า ถ้าเลือกเกิดได้ขออย่าได้เกิดมาเป็น “วัวลังกา ม้าอินเดีย เมียฮินดู” แล้วมันไม่ดีอย่างไรล่ะ เราเข้าใจว่าคงจะหมายความว่า ในอินเดียเขาถือว่าวัวเป็นพาหนะของเทพเจ้าเขาจึงไม่ใช้งานหนักมากเขาจะไปใช้แรงงานม้าแทน แต่ในประเทศศรีลังกาเขาจะใช้แรงงานวัวหนักมาก แล้วเป็นเมียฮินดูล่ะลำบากอย่างไร ไม่แน่ชัด แต่ในสมัยก่อนถ้าสามีตาย ภรรยาต้องเผาตัวเองตายตามไปด้วย ในปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้สั่งห้ามแล้ว แต่มีบางคนบอกว่าในชนบทที่ห่างไกลก็ยังคงแอบทำประเพณีนี้อยู่
ต่อมามีคนเติมคำเข้าไปอีกสองคำ เลยกลายเป็นว่า ถ้าเลือกเกิดได้ก็ขออย่าเกิดมาเป็น “วัวลังกา ม้าอินเดีย เมียฮินดู หมูเมืองไทย ไก่เมืองจีน”
ก็แค่เล่าให้ฟังพอขำขำฮาฮา อย่าไปจริงจังนัก


พิธีศพอินเดีย เผาตัวเองตายตามสามี ( Suttee )

Suttee หรือ Sati คือพิธีศพ ทางศาสนาของชาวฮินดูที่สืบทอดต่อๆกันมาในประเทศอินเดีย โดยให้หญิงม่ายที่กำลังเศร้าโศกเสียใจจากการที่สามีเสียชีวิต โดยภรรยามานั่งข้างๆศพสามีของเธอในกองฟืนที่ใช้ในการเผาศพ และเธอก็จะถูกเผาทั้งเป็นเคียงข้างศพสามี หรือถ้าเมียคนไหนไม่ยอม หรือหนีออกจากกองเพลิง ก็จะถูกจับมัดแล้วโยนเข้ากองเพลิงให้ตายตกตามสามีไป
พิธีกรรม นี้ถูกสืบทอดกันมาในอินเดียเป็นเวลานาน อินเดียถูกยึดครองโดยของอังกฤษ พวกผู้ปกครองชาวอังกฤษเห็นว่า พิธีกรรมดังกล่าวเป็นสิ่งที่เหี้ยมโหดร้ายมากจึงได้ยกเลิก และถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งผิดกฎหมายในปี 1829 แต่ก็มีการแอบลักลอบกระทำกันอีกเรื่อยมา

ข้อมูลอ้างอิง สุที พิธีเผาตัวเองตามสามี ( Suttee )
• http://www.dailycognition.com/index.php/2009/02/08/top-10-bizarre-traditions.html
• http://www.thainn.com/blog.php?m=sakichan&d=8883
• http://en.wikipedia.org/wiki/Sati_(practice)
























Udaipur pronunciation (help•info) (उदयपुर), also known as the City of Lakes, is a city, a Municipal Council and the administrative headquarters of the Udaipur district in the state of Rajasthan in western India. It is the historic capital of the former kingdom of Mewar in Rajputana Agency. Lake Pichola, Fateh Sagar Lake, Udai Sagar and Swaroop Sagar in this city are considered some of the most beautiful lakes in the state.

Apart from its glorious history, culture and scenic location, it is also known for its Rajput-era palaces. The Lake Palace, for instance, covers an entire island in the Pichola Lake. Many of the palaces have been converted into luxury hotels. It is often called the "Venice of the East" and is also nicknamed the "Lake City".





















City Palace, Udaipur
Standing on the east bank of Lake Pichola is a massive series of palaces built at different times from 1559. The balconies of the palace provide panoramic views of the "Jag Niwas" (the Lake Palace Hotel). They also have great views of Jag Mandir on one side and the city of Udaipur on the other. Its main entrance is through the triple-arched gate - the Tripolia, built in 1725. The way now leads to a series of courtyards, overlapping parations, terraces, corridors and gardens. There is a Suraj Gokhda, where the maharanas of Mewar presented themselves in the times of trouble to the people to restore confidence. The Mor-chowk (Peacock courtyard), gets its name from the mosaics in glass decorating its walls. The chini chitrashala is noteworthy while a series of wall paintings of Krishna are on display in Bhim Vilas. There are numerous other palaces such as Dilkhush mahal, Sheesh mahal, Moti mahal and Krishna vilas - in memory of a princess of striking beauty who poisoned herself to avert a bloody battle for her hand by rival princes. Now the palace contains many antique articles, paintings, decorative furniture and utensils and attracts thousands of visitors every day.[citation needed] The former guesthouse of the city palace, Shiv Niwas Palace and the Fateh Prakash Palace have been converted into heritage hotels.

















Lake Palace
The Lake Palace was built in 1743-1746. It is made of marble and is situated on Jag Niwas island in Lake Pichola. It was originally built as a royal summer palace, but is now a luxury 5 Star hotel, operating under the "Taj Hotels Resorts and Palaces" banner.







Jag Mandir
Jag Mandir is another island in Lake Pichola which is known for its garden courtyard. Shah Jahan took refuge here while revolting against his father. There is a restaurant run by the HRH group of hotels.










Lake Pichola
Lake Pichola is a lake that has two islands, Jag Niwas and the Jag Mandir. This lake is 4 km long and 3 km wide, originally built by Maharana Udai Singh II. There are many ghats, like the bathing and washing ghats, which can be approached through boats from the City Palace of Udaipur (Bansi Ghat). In the heart of the lake the Lake Palace stands, which is now converted into a heritage palace hotel. The lake remains fairly shallow even during heavy rains, and gets dry easily in times of severe drought.









Doodh Talai
A rock and fountain garden and the sunset point from which one can enjoy the sunset view in Lake Pichhola and a panoramic view of the old city. Also one can enjoy the Aerial tramway (rope way) which connects one of the dudh talai gardens to Karni Mata temple.





Ropeway in Udaipur
Udaipur has got another good evening activity which gives you a chance to have Bird's eye view of the whole old and new city, lakes and palaces from an altitude. Recently started Karni Mata Ropeway has been getting popular amongst domestic and international tourists. Its a ride of about 500 meters from Dudh Talai garden (new Garden built on the hill) to Ropeway junction at another Hill where old and know Temple of "Karnimata Godess" is situated. Its the very first Ropeway of Rajasthan.
A multicuisine Restaurant adds up to the reson for staying longer on top of hill and keep staring the natural beauty around.

Where to reach : Ropeway Point, Din Dayal Garden, Dudh Talai, near Lake Pichola.
Timing : 10 AM to 10 PM (So you can dine till fairly late at the Ivy view Restaurant on top of Hill)
Cost : Rs. 63 per adult and Rs. 31.50 per Kid


Jagdish Temple
The Jagdish Temple is a large Hindu temple in the middle of Udaipur. A big tourist attraction, the temple was originally called the temple of Jagannath Rai, but is now called Jagdish-ji. It is a major monument in Udaipur. The Jagdish Temple is raised on a tall terrace and was completed in 1651. It attaches a double storeyed Mandapa (hall) to a double - storied, saandhara (that having a covered ambulatory) sanctum. The mandapa has another storey tucked within its pyramidal samavarna (bell - roof) while the hollow clustered spire over the sanctum contains two more, non - functional stories. Lanes taking off from many of the sheharpanah (city wall) converge on the Jagdish Temple. It was built by Maharana Jagat Singh Ist in 1651 A.D. It is an example of Indo - Aryan architecture.







Fateh Sagar Lake
Fateh Sagar Lake is situated in the north of Lake Picholas. It was originally built by Maharana Jai Singh in the year 1678 AD, but later on reconstructed and extended by Maharana Fateh Singh after much destruction was caused by heavy rains. In 1993-1994, the water vanished from the lake, but in 2005-2006, the lake regained its water.

Nehru Garden
This is a park situated in the middle of Fateh Sager Lake. This park covers about 41 acres (170,000 m2), with flower gardens and a lily pond. It was inaugurated on the birth anniversary of the first Prime Minister of India, Jawaharlal Nehru. The garden overlooks the ancient Moti Mahal of Maharana Pratap and gives a view of the Aravalli hills on three sides.





Bagore-ki-Haveli
This is an old building built right on the waterfront of Lake Pichola at Gangori Ghat. Amir Chand Badwa, the Prime Minister of Mewar, built it in the eighteenth century. The palace has over a hundred rooms, with displays of costumes and modern art. The glass and mirror in the interiors are Haveli work. It also preserves an example of Mewar painting on the walls of the Queen's Chamber. The two peacocks made from small pieces of colored glasses are examples of glasswork. After the death of Badwa the building became the property of Mewar State. It came to be occupied by Maharana Shakti Singh of Bagore, who built the palace of the three arches in 1878, and it acquired its name of Bagore-ki-haveli, the house of Bagore. After independence the structure lay in neglect until 1986, when it housed the West Zone Cultural Centre. The haveli now stages Rajasthani traditional dance and music.























No comments:

Post a Comment